เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑o ก.ย. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมเนาะ ให้ธรรมเป็นทานๆมันมีคุณธรรมที่ไหนเอามาให้เป็นทานล่ะ ถ้ามันมีคุณธรรมให้เป็นทาน จิตใจมันจะร่มเย็นเป็นสุขไง ถ้าจิตใจร่มเย็นเป็นสุข ออกมาด้วยน้ำอมตธรรมมันเป็นความอบอุ่น มันเป็นความร่มเย็นไม่ใช่ออกมาแบบไฟ

เวลาออกเป็นไฟ ไฟมันเผาผลาญไปทั้งหมดล่ะ เวลาโทสะมันรุนแรง มันทำร้ายเขาไปทั่ว ทำลายเขาไปทั่ว แต่เวลาหลวงปู่มั่นเวลาท่านแสดงธรรมๆน้ำอมตธรรมนะมันชุ่มชื่นไปหมดถ้าคำว่า “ชุ่มชื่นไปหมด” นะ มันชุ่มชื่นมาจากไหนล่ะ มันชุ่มชื่นมาจากหัวใจดวงนั้นหัวใจดวงนั้น ถ้าหัวใจดวงนั้นมันมีคุณธรรมในใจดวงนั้น มันเหนือโลกไปทั้งหมดล่ะ สิ่งที่เราอาศัยกันอยู่นี่ทางโลกเขาว่ามันเป็นกิริยาๆ

คำว่า“กิริยา” มันก็ต้องอาศัยนะ แต่ของเรามันไม่ใช่กิริยา ของเรามันเป็นความจริงความจริงเพราะอะไร ความจริงเพราะเรายึดมั่นถือมั่นมันไง มันจะได้ดิบได้ดีมาเพราะเหตุนี้ มันจะได้ดิบได้ดีเพราะเหตุนี้

แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านสอน มันจะได้ดิบได้ดีมาด้วยการเสียสละ มันจะได้ดิบได้ดีมาด้วยการละทิ้ง ด้วยการละทิ้ง แต่ไม่มีใครกล้าละทิ้งหรอกเพราะมันไม่มีการละทิ้งได้เพราะมันไม่มีหนทางจะเดินไงมันต้องยึดของมันไว้ๆ มันทิ้งไม่ได้ มันไม่ยอมทิ้ง

แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติท่านทิ้งหมด พอทิ้งหมดแล้วมันเสียสละได้ทุกๆอย่าง คนเสียสละได้ทุกๆอย่างแล้ว ไอ้ของกิริยา ไอ้เครื่องอาศัยอย่างนี้มันแค่ดำรงชีวิตไปเท่านั้นน่ะ แล้วดำรงชีวิตไว้เพื่อประโยชน์ด้วยนะถ้าครูบาอาจารย์จริงๆ ท่านดำรงชีวิตไว้เพื่อประโยชน์กับโลกๆ

แต่ถ้าของเรา เราอยู่หนักโลก หนักไปเปล่าๆ น่ะ คนหนักโลกไม่มีประโยชน์อะไรทั้งสิ้น มันมีอะไรถ้าคนเราตายไปโลกมันจะได้สูงขึ้นไง นี่เวลาโลกเขาเบื่อหน่ายเห็นไหม แต่ท่านเป็นครูบาอาจารย์ของท่านมันเป็นสัจจะๆสัจจะให้ธรรมเป็นทาน ให้ธรรมเป็นทานคือให้สติสัมปชัญญะให้สติสัมปชัญญะด้วยการไม่ต้องสอนไง เวลาไม่ต้องสอนนะการกระทำเป็นตัวอย่างนั้นน่ะดีกว่าคำสอน ดีกว่าทุกๆ อย่างมันทำได้อย่างไรน่ะ เวลาสังคมสังคมที่มันเดือดมันร้อนกันอยู่นี่เพราะเหตุใด เราบอกว่าสังคมรังแกเราๆ แล้วสังคมมันเกิดมาได้อย่างไร

มนุษย์เป็นสัตว์สังคมไงถ้ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม เวลาสังคมมันโหดร้ายสังคมที่เห็นแก่ตัว แล้วเราล่ะแล้วเราล่ะ มันย้อนกลับมาที่นี่ไง เพราะอะไรเพราะเราก็เป็นแบบเขา ถ้าเราไม่เป็นแบบเขาเราจะไม่เดือดร้อนไปกับเขาถ้าเราเดือดร้อนไปกับเขา เพราะเราเป็นแบบเขาไง เราเป็นแบบเขามันก็แย่งชิงกันไง สิ่งใดที่มันต้องการปรารถนามันก็หยิบฉวยกันไป

แต่ถ้าเป็นธรรมๆ ขึ้นมา เราไม่หยิบฉวยไปกับใคร เราไม่หยิบไม่ฉวยใดๆทั้งสิ้น ถ้าหัวใจมันเป็นธรรมแล้วหัวใจเป็นธรรมแผ่นดินธรรมๆแผ่นดินธรรม เราปรารถนาให้ความร่มเย็นเป็นสุขกับเขา เราปรารถนาให้ความร่มเย็นเป็นสุขกับเขา แต่เขาไม่เข้าใจ ดูสิเวลาเขาช่วยสุนัขกัน แล้วตอนนี้เป็นข่าวใหญ่โตใครๆ ก็ไปช่วยสุนัข ใครๆ ก็ไปช่วยสุนัข เราไปช่วยสุนัขกัน ช่วยสุนัขด้วยจิตใจเป็นเมตตาไง ถ้าจิตใจเมตตามันช่วยสุนัขๆ

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เราเห็นคนที่มันหยิบมันฉวย คนที่มันเห็นแก่ตัว มันก็เอาเปรียบเขามันก็เป็นอย่างนั้นน่ะ มันเป็นอย่างนั้น เรามองว่าเขาเป็นอย่างนั้น แต่เขาไม่รู้ตัวว่าเขาเป็นอย่างนั้นไง ถ้าเขาไม่รู้ว่าเขาเป็นอย่างนั้นแล้วมันก็กัดมันก็ฉีกกันไง มันกัดมันฉีกกันมันก็แย่งชิงกันในสังคมไง มันแย่งชิงด้วยอะไร แย่งชิงด้วยความคิดด้วยความเห็นภายในไง มันทำมาด้วยความเคยชิน

แต่ถ้าจิตใจเราเป็นธรรม จิตใจเราเป็นธรรม เป็นธรรมตรงไหนล่ะเป็นธรรมต้องเป็นที่เรานี่ก่อนแล้วเราล่ะ แล้วเราทำอย่างใดถ้าเราทำของเรานะ เราสงบระงับในใจของเราให้ได้ ถ้าเราสงบระงับในใจของเราขึ้นมา ต้องสงบระงับมาให้ได้

เวลาคนนุ่มนวลอ่อนหวานแต่ภายนอก ข้างในมันเดือดเป็นไฟนะ ข้างในมันเดือดเป็นไฟๆแล้วเวลาแสดงธรรมออกมา ไฟทั้งนั้นน่ะ มันแผดเผาเขาไปทั่ว มันมีหน้าฉากหลังฉากไง แต่ถ้าเป็นความจริงๆขึ้นมามันไม่มีหน้าฉากหลังฉาก มันมาอย่างไรมันก็ไปอย่างนั้นน่ะ มันมาอย่างไรมันก็ไปอย่างนั้นน่ะ มันเป็นเรื่องของกิริยา เรื่องของโลก เรื่องของความเป็นไปของโลก เราอยู่กับเขาๆ เราต้องดำรงชีวิต เราไม่ใช่คนโง่

เวลาหลวงตาท่านพูดประจำ ธรรมนี้เข้าได้กับเม็ดหินเม็ดทราย มันเข้าได้กับทุกวัตถุธาตุ มันเข้าได้หมดน่ะ ธรรมมันเข้าได้หมด เราไม่ใช่คนโง่ เราเป็นคนมีสติมีปัญญา ถ้ามีสติมีปัญญา สิ่งที่เราแสวงหามานี้แสวงหาเพื่อดำรงชีพ ดำรงชีพไว้ขวนขวายของเรานะ ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติใช่ไหม เราอยากประพฤติปฏิบัติเวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันต้องฝึกหัดขึ้นมาไง ถ้าไม่ฝึกหัดขึ้นมามันจะมีคุณธรรมขึ้นมาในใจได้อย่างไรถ้ามีคุณธรรมขึ้นมาในใจได้มันต้องฝึกหัดๆ

ทีนี้การฝึกหัดของเราเวลาการฝึกหัดของเรา สัปปายะ๔ หมู่คณะเป็นสัปปายะ อาหารเป็นสัปปายะ อาหารเป็นสัปปายะก็เลือกเอาสิสิ่งใดที่มันกินแล้วมันเบา ฉันแค่ดำรงชีวิต มีก้อนข้าวตกใส่กระเพาะเท่านั้นแหละ ให้มันดำรงชีพไว้ได้ๆดำรงชีพไว้ได้แล้วเราจะประพฤติปฏิบัติไง

เราดำรงชีพไว้เพื่อทำไมเราดำรงชีพไว้เพื่อแสวงหาไงเราไม่ได้ดำรงชีพไว้ให้มันหนักโลกไง ให้มันหนักโลก ให้กิเลสมันข่มขี่หัวใจเอา ถ้ามันไม่หนักโลก มันไม่หนักโลกมันก็ไม่หนักหัวใจเราถ้ามันไม่หนักหัวใจเรา อะไรมีค่า อะไรมีค่า

เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินะ เวลามีค่ามาก เราต้องการเวลา เราต้องการเวลาเพื่อจะค้นคว้า เพื่อจะฝึกหัดปฏิบัติของเรา เวลานี้สำคัญมาก เวลาสำคัญมาก ทีนี้ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเวลามันล่วงไปเร็วมากนะแป๊บๆ แป๊บๆเดี๋ยวสว่าง เดี๋ยวมืด ทำไมมันเร็วขนาดนั้น เวลาจิตใจถ้ามันดี มันรวดเร็วมาก เราอยากได้เวลานั้นมา อยากให้เวลามันยืดออกไปอีกเวลาคนทำงานๆอยากได้วันหนึ่ง๘๔ ชั่วโมง ไม่ใช่๒๔ อยากให้ได้๘๔ เลย อยากให้มีเวลาเยอะๆอยากได้ทำงานเยอะๆ แล้วมันเป็นไปได้ไหมมันก็เป็นไปไม่ได้ทั้งนั้นน่ะ มันเป็นข้อเท็จจริงอย่างนั้น

แต่ถ้าเวลาเราปฏิบัติเราอยากได้เวลาอันนั้นมา ถ้าอยากได้เวลาอันนั้นมา สัปปายะ ๔ครูบาอาจารย์ สิ่งใดดำรงมา วัดในศาลาโรงธรรมมันมีข้อวัตรนะข้อวัตรของเรา วัดในกุฏิวิหารที่เราอยู่เราก็ต้องทำความสะอาดของเราในบริเวณรอบๆ นั้น วัจจกุฎีวัตร วัตรในห้องน้ำห้องส้วมเราใช้สอยแล้วมันต้องมีของมันวัตรในโรงธรรมน้ำล้างเท้า น้ำต่างๆ มันมีอยู่ในข้อวัตรปฏิบัติ ในเสขิยวัตรหมดเลย มันมีอยู่ในเสขิยวัตร เห็นไหม สิ่งที่กระทำอย่างนี้เราทำเพื่ออะไรล่ะ เราทำกันเพื่ออะไร ที่ว่าถ้ามีข้อวัตรปฏิบัติ วัดไม่ร้างๆ

ถ้าเราไปวัดไปวา วัดทั่วไปวัดสวยงามด้วยวัตถุก่อสร้าง ด้วยถาวรวัตถุ นั่นศาสนวัตถุ เวลาวัดไหนที่เขาทำพิธีกรรมนุ่มนวลอ่อนหวานนะ นั่นศาสนพิธี ถ้าวัดปฏิบัติๆ ถ้ามันมีในหัวใจขึ้นมามันรับผิดชอบของมัน มันดูแลของมัน มันรับผิดชอบที่ไหน รับผิดชอบในหัวใจนี้ไงที่ว่าจิตใจเป็นธรรมๆ ไง ถ้าจิตใจเป็นธรรม เป็นสุภาพบุรุษ ทำผิดแล้วยอมรับผิด

ขนาดเราประพฤติปฏิบัติใหม่ๆ นะ ถ้ามีอะไรเราจะไปถามเลยว่ามีอะไรผิดพลาดไหม มีอะไรผิดพลาดไหม กลัวจะผิดไง กลัวจะไปบาดหมางน้ำใจเขา กลัวจะไปกระทบกระเทือน แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติใหม่ๆ นี่นะ ไอ้เรื่องนี้สำคัญมากสำคัญเพราะอะไร ชวน หูตามันจะดีมาก เวลาเราปฏิบัติเราอยากให้มีสติสัมปชัญญะถ้ามีสติสัมปชัญญะนะ หูมันได้ยินหมด เหมือนหูแว่วเลย เสียงอะไรได้ยินไปหมดล่ะ เขาคุยกันก็ดันไปเอามาเป็นฟืนเป็นไฟเผาตัวเอง นี่ชวนมันดี เสียงก็ได้ยินดี ตาก็คม ตาก็รู้ก็เห็นขึ้นมามันกระทบกันง่าย มันกระทบกันง่าย ฉะนั้นครูบาอาจารย์ท่านจะคอยระวังตรงนี้ไง อย่าให้กระทบกระเทือนกัน

เวลาใครประพฤติปฏิบัติแล้ว ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเรามาสนทนาธรรมกัน เราหาหนทางกัน หาช่องทางกัน การคุยกันเพื่อหาช่องทาง ใครมีช่องทางอย่างไร เออ! ฟังเหตุฟังผลของเขา ช่องทางของเขากับช่องทางของเรา อันไหนมันจะราบรื่นกว่ากัน คุยกันเพื่อเหตุเพื่อผลอย่างนี้ นี่ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ

แต่เวลาครูบาอาจารย์ท่านถ้าเป็นนักปฏิบัติจริงๆ ท่านห่วงว่าอย่าคุยกัน พอมันคุยกันเดี๋ยวมันเกิดทิฏฐิมานะไง เกิดทิฏฐิมานะ เกิดขบเกิดเหลี่ยมกัน มันมีปัญหาไปทั้งนั้นน่ะ

วางไว้เรื่องของเขามนุษย์เป็นสัตว์สังคม ถ้ามนุษย์เป็นสัตว์สังคมสังคมรังแกเราสังคมจะดีจะชั่วมันก็เรื่องของสังคมนั้น ถ้าคนสังคมมันเกิดจากใคร มนุษย์เป็นสัตว์สังคมใช่ไหม แล้วมนุษย์เป็นสัตว์สังคม เราก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งใช่ไหม เราเป็นมนุษย์คนหนึ่งแล้วเรามาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราต้องเข้าสังคมใช่ไหม แล้วสังคมของเรา สังคมที่มีข้อวัตรปฏิบัติสังคมที่ไม่ร้างสังคมที่ไม่ร้างวัดก็ไม่ร้างจิตใจก็ไม่ร้าง มีสามัญสำนึกสำคัญมากสำคัญตรงสามัญสำนึกนี่ถ้ามีสามัญสำนึกขึ้นมามันจะเริ่มโอกาส เริ่มหนทางแห่งการประพฤติปฏิบัติ

ถ้ามันไม่มีสามัญสำนึกมันลอยลมไงวันๆ ก็ล่วงไปนะแล้วพอวันๆ ช้ามาก เมื่อไหร่มันจะสว่าง เมื่อไหร่มันจะมืด นับวันนับคืน นับวินาทีเลย ถ้ายิ่งนั่งภาวนาด้วย มันจะทุบนาฬิกาทิ้งเลย แหม! เดินช้ามาก อยากให้นาฬิกาเดินเร็วๆอยากจะไปอวดเขาว่านั่ง ๕ชั่วโมง นั่ง ๑๐ชั่วโมงไง

ไอ้นั่นมันนาฬิกา ไปดูร้านขายนาฬิกาสิแขวนไว้เต็มร้านเลย มันก็เดินของมันอยู่อย่างนั้นน่ะ นาฬิกาเป็นนาฬิกา หัวใจเรามีคุณค่ามากกว่านั้นน่ะ ถ้าหัวใจเราทำไมต่ำต้อยกว่านาฬิกาล่ะอยากจะทุบมันทิ้งเลย ถ้าหัวใจมันไม่มีหลักมีเกณฑ์ วันเวลามันช้านัก มันอมทุกข์ อมทุกข์แล้วเรามาทำไมล่ะ

ถ้ามีสามัญสำนึก มีสตินะ พอมีสติ ไอ้ที่ว่าอมทุกข์ๆเบาทันทีเลยเอ๊อะ! เห็นไหมแล้วเราล่ะ แล้วเรา ถ้ามีสามัญสำนึกสามัญสำนึกขึ้นมาแล้ว เริ่มต้นจากตรงนี้สามัญสำนึกมันเก็บหอมรอมริบนะ สิ่งใดที่เป็นข้อวัตรปฏิบัติ สิ่งใดที่ทิ้งไว้เรี่ยราดรายทาง เราเก็บเราดูแลของเรามันเป็นข้อวัตรของเรา มันเป็นหัวใจของเรา มันเป็นความภูมิใจของเราไง ถ้าเป็นความภูมิใจของเรา มันเป็นความภูมิใจนะ ความภูมิใจที่ไหนความภูมิใจที่เราเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า“ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเธอ”

แล้วเสขิยวัตร ใครเป็นคนบัญญัติไว้ ก็องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้บัญญัติไว้ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกธรรมวินัยที่ท่านบัญญัติไว้จะเป็นศาสดาของเราแล้วเราทำตามนั้น เราจะภูมิใจไหม แต่เราปิดทองก้นพระไง ไม่ต้องให้ใครเห็นไม่ต้องให้ใครรู้ทำไมต้องให้มันรู้ จะทำเอาหน้ากับมันหรือ เราทำเพื่อบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราไม่ได้ทำเพื่อใครทั้งสิ้น

แต่พอไม่ทำเพื่อใครทั้งสิ้น วัดที่มีข้อวัตรปฏิบัติ เวลาบริษัท ๔ ผู้ที่ทำบุญทำทานเขาไปแล้วเขาก็ชื่นอกชื่นใจของเขาเขาไปแล้วเขาก็สะดวกใจของเขา เวลาไปวัดไปวาสิ่งใดที่มันสกปรกโสโครกไปแล้วมันก็อึดอัด เขาไม่สะดวกสบายใจของเขา เห็นไหม

เราทำเราทำเพื่อบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราทำเพื่อเคารพบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราบูชาพุทธะในหัวใจของเราแล้วชาวพุทธด้วยกันเขาได้ใช้ได้สอย เขาได้เห็นของเขา เขาก็ชื่นอกชื่นใจของเขา ไม่ต้องมีใครพูดอะไรเลยไม่ต้องมีใครพูดอะไรเลย มันรับรู้ได้โดยหัวใจ มันรับรู้ได้หมด มันรับรู้ได้ มันรับรู้ได้ การรับรู้ได้อย่างนี้ ถ้ามีสามัญสำนึก เราทำคุณงามความดีของเรา ฟังธรรมๆ

เวลาของจะมีค่า เราก็ไปดูว่าเพชรนิลจินดากันนั่น แต่ถ้าครูบาอาจารย์ของเราสิ่งที่มีค่านะ ไม่ประมาท ไม่ขาดสติ ดูแลหัวใจของตนมีค่ากว่า มีค่ากว่าเยอะเลย แล้วมีค่ากว่า เพราะมีเรามันถึงมีทรัพย์สมบัติทั้งนั้นน่ะ แล้วเวลาตายไป ทรัพย์สมบัติก็ทิ้งไว้อยู่ที่นี่ จะไปกับเราก็ความดีความชั่วในใจเราเท่านั้นน่ะแล้วความดีความชั่วในใจของเรา ถ้ามันทำของมันได้มันมีคุณค่าขึ้นมาทันที มีค่ามากๆ มีค่ามากๆแต่เราไม่เห็นค่ากันหรอก ไม่มีเพชรนิลจินดายิ่งเป็นพระด้วยถ้าไม่มีพัดแหลมมานี่ไม่มีค่า ต้องพัดแหลมๆ แล้วแบกมาทำไม

แต่ถ้ามันเป็นคุณค่าในหัวใจของตนนะคุณค่าในหัวใจของตน หลอกใครหลอกได้หมดล่ะ หลอกตัวเองไม่ได้ หลอกตัวเองไม่ได้หรอก ความลับไม่มีในโลกหลอกใครทั้งหมดในโลกนี้หลอกได้ทุกคนแต่หลอกตัวเองไม่ได้ แล้วตัวเองมันสุขหรือมันทุกข์ล่ะ ถ้ามันหลอกตัวเองไม่ได้ ฟังธรรมๆ ก็เพื่อเหตุนี้ไง เราจะเปิดหัวอกเราไง เราจะพยายามผ่อนคลายมันไงเราจะเอาธรรมโอสถในหัวใจของเราไง หลอกใครไม่ได้ ร้อนในหัวใจ หลอกใครไม่ได้ หน้าชื่นอกตรมทั้งนั้นน่ะ

หน้าที่ของเราก็หน้าที่ของเรา มีครอบครัวก็เป็นพ่อเป็นแม่คน ก็ดูแลรักษาของเราเรามีหน้าที่ของเรา เราทำหน้าที่ของเราตามความสามารถของเราแล้วถึงเวลาแล้วเราดูแลหัวใจของเรา ถ้าหัวใจของเรามันอยู่ไหนล่ะ หามันให้เจอ หามันให้เจอไง ถ้าหาให้มันเจอ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคตไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เห็นอย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์อย่างนี้ แล้วเราเองเราก็จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ในหัวใจของเราไงเราจะช่วยเหลือหัวใจของเราไง

เวลาเราช่วยเหลือคนอื่น ช่วยเหลือเขาไปทั่ว ที่นั่นคนทุกข์คนยากที่นั่นคนจนเข็ญใจ ช่วยเขาไปทั่ว คนมีความทุกข์ ไปปลอบประโลมเขาเลย แล้วใจเอ็งล่ะ หามันเจอไหม มันอยู่ที่ไหนได้คุยกับมันบ้างหรือเปล่า ได้รักษามันบ้างไหม มีสติสัมปชัญญะได้ดูแลมันบ้างหรือเปล่าปล่อยให้มันว้าเหว่อยู่นั่นแล้วเวลาจะพึ่งก็ไปพึ่งข้างนอกไปดูแลคนอื่นๆแล้วใจของมึงล่ะ ใจของมึงล่ะนี่ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนที่นี่ไง

เวลาหลวงตาท่านสอนประจำ สิ่งที่สัมผัสธรรมได้คือความรู้สึกของคนเท่านั้น คือหัวใจเท่านั้น สิ่งที่เป็นสื่อ สื่อนั่นเป็นสื่อสื่อมันคือสื่อเพียงแต่ว่าเวลาเขาสื่อโดยทุจริตหรือสุจริตเท่านั้นถ้าสื่อโดยสุจริตมันก็เป็นสื่อที่ดีถ้ามันสื่อโดยทุจริตก็สื่อเพื่อผลประโยชน์ สิ่งที่เราเห็นเป็นสื่อทั้งนั้นน่ะ แล้วหัวใจเราล่ะหัวใจของเราที่เราแสวงหาแสวงหาสื่อที่ดีแสวงหาสื่อที่ดีเราทำสิ่งที่ดีเกิดขึ้นมา ถ้าเราทำสิ่งที่ดีเกิดขึ้นมาเราเป็นคนทำเองหลอกใครหลอกได้หมด หลอกคนได้ทั่วโลก แต่หลอกตัวเองไม่ได้หรอก หลอกตัวเองไม่ได้ ถ้ามันรู้มันเห็นของมันตามความเป็นจริง มันเปิดเผยในกลางหัวใจไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิบัติไปแล้ว ไม่มีกำมือในเรานะ ท้าพิสูจน์ตลอด แบตลอดเลย ใครก็ได้ ใครก็ได้ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคตเหมือนกันหมดถ้ามันเหมือนกันหมด มันเป็นความจริงอย่างนั้น เห็นไหมหลอกตัวเองไม่ได้ ถ้าหลอกตัวเองไม่ได้ ฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ไงฟังธรรมขึ้นมาเราถึงจะต้องมาประพฤติปฏิบัติของเราด้วยหัวใจของเราด้วยการประพฤติปฏิบัติของเราไง เราเอาใจของเราให้ได้ เอาหัวใจของเราให้ได้

ถ้ามันยังเป็นวัตถุเกินไปวัตถุ อย่างคำว่า“ข้อวัตรๆ” เป็นวัตถุหมดล่ะ มันจับต้องๆ ให้มันพาดพิงๆ นี้ไว้แต่เวลามันเห็นคุณค่าขึ้นมาเห็นคุณค่าจริงๆนะ เห็นคุณค่ามาก

เวลาใครก็แล้วแต่จะมีบ้านเรือนจะสูงส่งขนาดไหนมันต้องมีผู้ทำความสะอาดทั้งนั้นน่ะ ไอ้คนทำความสะอาดมันจะต่ำต้อยขนาดไหน บ้านเขาจะเล็กจะน้อยขนาดไหน แต่เขาทำความสะอาดที่ดี เขาซื่อสัตย์ที่ดี เขาก็รักษาทั้ง ๒ บ้านบ้านของเขาด้วยและบ้านของผู้ที่จ้างวานเขาด้วยเห็นไหม ต้องมีคนทำความสะอาดทั้งนั้นน่ะ

นี่ก็เหมือนกัน เวลาสิ่งจริงๆ ขึ้นมาแล้ว สติ สมาธิปัญญาในใจสำคัญที่สุด มันจะทำความสะอาดหัวใจดวงนั้นไง ถึงเวลาไปแล้วมันต้องเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก ต้องทำด้วยตัวเองไงเพราะทำด้วยตัวเอง เวลาไปเจอยมบาลถามว่ารู้จักธรรมะไหมรู้จักธรรมะจะไปบอกว่ารู้ ก็ทำมากับมือทั้งนั้นน่ะ นี่พูดถึงว่าคนที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนะ แต่ถ้าคนที่เวรกรรมหนักหนาเวลาทำไปแล้วนรกอเวจีมันดูดไปเลย เวลาคนที่ทำบุญกุศลมหาศาลก็ไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์พรหม ไม่ต้องไปผ่านยมบาลตรงนี้

แต่เวลาถ้าผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันมีอริยทรัพย์ในหัวใจแล้ว มันยิ่งไม่ต้องไปผ่านเลย ไม่มีต้องไปผ่าน ไม่ผ่าน ไม่รับรู้ มันเหนือหมด พอเหนือโลกๆ ใจมันเหนือโลกได้เหนือโลกได้ด้วยคุณธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เหนือโลกได้ด้วยการประพฤติปฏิบัตินะ เหนือโลกได้เพราะข้อวัตรปฏิบัติเรานี่แหละ ข้อวัตรปฏิบัติจะฝึกหัดเด็กใหม่ขึ้นมาฝึกหัดผู้มาใหม่ฝึกหัดเข้ามา พอฝึกหัดแล้วฝึกหัดขึ้นมาฝึกหัดขึ้นมาเพื่อให้จิตใจเขามั่นคง พอมั่นคงขึ้นมาแล้ว เขามีคำบริกรรมของเขา คำบริกรรมก็ทำให้ใจเขาสงบเข้ามาได้ พอใจสงบเข้ามาได้ ถ้าเขายกขึ้นสู่วิปัสสนาตามความเป็นจริงเห็นสติปัฏฐาน ๔ตามความเป็นจริง เพราะจิตมันเห็นจิตมันรู้

พอจิตมันเห็นจิตมันรู้ จิตมันฟู จิตมันกระเทือนหัวใจมันกระเทือนกิเลสพอกิเลสมันโดนต้อนด้วยศีลสมาธิ ปัญญา มันจะโดนมรรคโดนผลกระทำ ธรรมาวุธ อาวุธจะฟาดฟันมันไงฟาดฟันมันก็หลบมันก็หลีกมันก็หลบซ่อนในใจไง พอหลบซ่อนในใจมันก็ว่างๆ ว่างๆ ไงว่างๆ มันก็หลบซ่อนอยู่นั่น เห็นไหม มีการรื้อค้นๆ ขึ้นมา จนถ้ามันสำรอกมันคาย มันคายตรงไหนล่ะ เวลาสำรอกมันสำรอกที่ไหนล่ะมันสำรอกในหัวใจนั่นน่ะ มันรู้มันเห็นของมัน เห็นไหม ความลับไม่มีในโลกๆแล้วถ้าคนไม่มีการกระทำ คนไม่มีมรรค มันจะเอาผลมาจากไหน มันไม่เคยทำขึ้นมา มันไม่มีเหตุไม่มีผล เอาอะไรมา มันไม่มีความจริงในหัวใจของมันเลยไง

ถ้าทำความจริงๆ ขึ้นมาคุณค่าของหัวใจที่มันเรียกร้องการช่วยเหลือๆ เราต้องช่วยเหลือช่วยเหลือด้วยมรรคด้วยผลขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เราทำขึ้นมาเป็นผลของเรา เราทำขึ้นมาเป็นสมบัติของเรา ไม่มีกำมือในเรา แบหมด แบหมดไงใจมันเป็นๆ มันเป็นขึ้นมาในใจไง เป็นขึ้นมาจากความวิริยะความอุตสาหะเป็นขึ้นมาจากสามัญสำนึกเพราะมีสามัญสำนึกจิตใจความรู้สึกมันก็มี ถ้าไม่มีสามัญสำนึกจิตใจมันไปไหนล่ะ เร่ร่อนไปหมดเร่ร่อนไปหมดก็เหมือนกับธรรมชาติ ความคิดเกิดดับมันเรื่องของธรรมชาติ แล้วแต่มันจะหมุนเวียนของมันไป เร่ร่อนของมันไป ไม่มีเหตุไม่มีผล เร่ร่อนของมันไป ความคิดเร่ร่อนมันไปโดยไม่มีใครควบคุมมัน แต่เรามีสติปัญญามันก็เป็นเหตุผลขึ้นมา แล้วถ้าเกิดทำได้จริงมันก็เป็นมรรคผลขึ้นมาในใจ นี่ไงมันเป็นของใจดวงนั้น

โกหกใครโกหกได้หมดล่ะ โกหกตัวเองไม่ได้ แล้วถ้ามันเป็นคุณธรรมขึ้นมาในหัวใจมันก็เป็นกังวานกลางหัวใจเหมือนกันมันก็กังวานกับใจดวงนั้นเหมือนกันถ้าเอาใจดวงนั้นที่เรียกร้องการช่วยเหลือๆ เราก็จะช่วยเหลือด้วยคุณธรรมของเราด้วยการปฏิบัติของเรา ด้วยความเพียร ด้วยความวิริยะ ด้วยความอุตสาหะของเรา เอวัง